วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

กรรมวิธีผลิตเครื่องหอม


วิธีการทำเครื่องหอม
 สามารถทำได้ 3 วิธี  คือ การอบ การร่ำ และการปรุง
              การอบ หมายถึง การนำมาปรุงกลิ่นด้วยควัน หรือนำมาปรุงกลิ่นด้วยดอกไม้หอม การอบให้มีกลิ่นหอมเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง กลิ่นหอมจะซึ่งเข้าไปในของที่นำไปอบ โดยวัตถุที่ต้องการให้มีกลิ่นนั้น อยู่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท จะอบด้วยเทียนอบ หรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีกลิ่นแรง มักจะไม่ใช่ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเลี่ยน ๆ หรือที่มีกลิ่นเปรี้ยว
    1. การอบ ดอกไม้มี 2 ชนิด คือ การอบน้ำ และการอบแห้ง
               การอบน้ำ คือ การลอยดอกไม้บนน้ำ เช่น อบน้ำสำหรับรับประทาน อบน้ำเชื่อมอบน้ำสรง 
การอบดอกไม้บนน้ำควรปฏิบัติดังนี้
        -     ไม่ควรนำดอกไม้ใส่ลงภาชนะให้เต็ม ควรเว้นที่ว่างไว้ เพราะกลิ่นของดอกไม้จะได้ลงถึงน้ำ
        -     ควรใช้ภาชนะที่มีลักษณะปากกว้าง ตื้น มีฝาปิด เวลาอบใส่น้ำเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ความหอมทั่วถึง
        -     ควรวางภาชนะให้เข้าที่เสียก่อนแล้วค่อยใส่น้ำ เวลานำดอกไม้ลงลอยน้ำจะต้องนิ่งแล้วจึงลอยดอกไม้เบาๆ 
              ถ้าน้ำกระเทือนจะทำให้เข้าดอกไม้ช้ำได้ ทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกไม้ประเภทที่มีกลีบบาง เช่น                             ชำมะนาด จันทน์กะพ้อ สารภี พิกุล ควรใส่จอกหรือภาชนะเล็กๆ ลอยไว้เพื่อป้องกันการเกิดกลีบดอกช้ำ
       -      ดอกไม้ที่ลอยน้ำ ควรลอยตามเวลาที่ดอกไม้บาน ไม่ควรแช่ทิ้งไว้นานเพราะหัวน้ำหอมลงอยู่ใน
               น้ำหอมแล้วการอบดอกไม้บางชนิด อบได้นาน 6 – 8 ชั่วโมง เช่น กุหลาบมอญ พิกุล ลำเจียก
              ชำมะนาด ราตรี ดอกแก้ว พุทธชาด กระดังงา ดอกไม้บางชนิดลอยได้ ประมาณ 1 - 3 ชั่วโมง เช่น
              ดอกลำดวน ขจร สารภี ส่าเหล้า กรรณิการ์ ฉะนั้น การลอยดอกไม้ควรลอยเวลาค่ำและนำขึ้น       
              ตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
        -     การลอยดอกไม้เพื่อให้กลิ่นหอม ควรทำการศึกษาว่า ดอกไม้ชนิดใดบานในเวลาใด เช่น
        -     ดอกมีที่บานเวลาเช้ามืดจะส่งกลิ่นเวลาประมาณ05.00 – 06.00 น. คือ ดอกพิกุล ดอกสารภี
              ดอกจำปาดอกสายหยุด ดอกจันทน์กระพ้อ
        -    ดอกไม้ที่บานในเวลาเย็น เวลาประมาณ 18.00 น. ได้แก่ ลำเจียก มะลิ พุทธชาด ดอกส้ม ลำดวน
        -    ดอกไม้ที่บานเวลาค่ำ เวลาประมาณ 19.00 น. ได้แก่ ดอกชำมะนาด ดอกขจร ดอกกรรณิการ์
              ฉะนั้น ดอกไม่ที่ออกกลิ่นเวลาใด ต้องคอยอบเวลานั้น พอหมดกลิ่นรีบเอาออกก่อนที่ดอกไม้จะช้ำ
        -     ดอกไม้ที่จะนำมาอบถ้ามีต้น ก็เกิดใช้ในเวลาที่ต้องการได้เลย แต่ถ้าซื้อตอนเช้า เพราะยังพรมน้ำจาก
              จะทำให้กลิ่นหอมของดอกไม้หมดไป และดอกไม้จะช้ำ เรียกว่า ดอกไม้สำลักน้ำ
               การอบแห้ง คือ การวางดอกไม้ไว้บนขนมหรือสิ่งของต่างๆ ควรจะใช้ภาชนะเล็ก ๆ วางไว้บนของที่อยู่ในโถ ปิดให้สนิท การอบแห้งควรอบตามเวลาดอกไม้บาน เมื่อถึงตอนเช้าควรเอาดอกไม้ออก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้กลิ่นเสีย
               วิธีใช้ดอกกระดังงาดอกไม้ชนิดอื่นพอเก็บก็นำมาอบได้เลย แต่ดอกกระดังงาจะต้องนำมาอบควันเทียนเสียก่อน บางครั้งรียกว่า กระดังงาลนไฟจากหนังสือ เครื่องหอมและของชำร่วย ของคุณโสภาพรรณ อมตะเดชะ ได้กล่าวถึงวิธีการลนไฟไว้ว่า โดยใช้มือรวบปลายกลีบดอกแล้วนำคั่วดอกลนไฟให้ตายนึ่งเวลาจะปลิดกลีบดอกออกจากดอก ใช้มือขับที่กระเปาะดอกให้กลับร่วงจะทำกลิ่นหอมแรงกว่าปลิดทีละกลีบ แล้วฉีกแต่ละกลีบตามแนวยาว กลีบละ 2 – 3 เส้น การใช้เทียนอบ เทียนอบใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้จะต้องจุดไส้เทียนให้ไหม้ถึงตัวเทียน เนื่องจากกลิ่นหอมอยู่ที่ตัวเทียน เทียนอบที่ใช้แล้ว เก็บไว้นาน ๆ ไส้เทียนแข็ง จะต้องจุดไฟก่อนเพื่อให้ไส้เทียนอ่อนตัว
              
             การร่ำ หมายถึง การอบกลิ่นหอมหลายอย่าง และทำโดยภาชนะเผาไฟแล้วใส่เครื่องหอม เพื่อให้เกิดควันที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ กลิ่นหอมของยางไม้ กลิ่นน้ามัน กลิ่นเนื้อไม้ ฯลฯ การร่ำเครื่องหอมต้องใช้ภาชนะที่สำคัญ คือ โถกระเบื้อง การที่จะร่ำต้องใส่ทวนไว้ตรงกลางโถ นำตะคันเผาไฟให้ร้อน แล้วนำไปวางไว้บนทวน
         
             การปรุง หมายถึง การรวมของหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ในกรณีการปรุงเครื่องหอม คือ การนำแป้งพิมเสน หัวน้ำหอม ชะมดเช็ด มาบดผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำไปปรุงกับน้ำอบไทย หรือเครื่องหอมอื่น ๆ แต่มีข้อสังเกตตรงที่ว่าการที่จะใส่หัวน้ำหอมชะมดเช็ด จะต้องบดแป้งนวล หรือแป้งหินเสียก่อนเพื่อให้แป้งซับน้ำมันให้หมดแล้วจึงนำไปผสมหรือกวนในน้ำต่อไป เช่น การทำน้ำอบไทยจะต้องอบร่ำและปรุงจึงถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการทำน้ำอบไทย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น