ประวัติของเครื่องหอม
ความหอมเป็นมนต์เสน่ห์สำหรับมนุษย์
ผู้ที่ชื่นชมหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง ในทุกระดับชนชั้นต่างหาสิ่งหอมมาประทินผิวกาย
เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ตนเองและผู้ชิดใกล้ ในรูปลักษณะที่แตกต่างกันออกไปอาทิ หาดอกไม้มาแซมผม
นำความหอมของไม้ยางมาปรุง อบร่ำในเสื้อผ้า อาหาร ทาผิวกาย เครื่องหอมต่าง ๆ
ของไทยมีมาแต่โบราณกาลโดยทำขึ้นมาใช้เองจากวัสดุและสมุนไพรหอมที่ปลูกในเมืองไทย
และสืบทอดต่อ ๆ มาตามคำบอกเล่า มิได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรใด ๆ
จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของเครื่องหอมใน
ENCYCLOPAEDIA หลายเล่ม
ไม่มีการบันทึกการสกัดน้ำหอมจากดอกไม้ว่า
เริ่มตั้งแต่เมื่อใดนอกจากจะกล่าวถึงสมัยโบราณ
มนุษย์เผาไม้หอมบางชนิดที่มียางและมีกลิ่นหอมในพิธีทางศาสนา
ปรากฏว่ากลิ่นที่ลอยมากับควันอันอบอวลอยู่ในบริเวณงาน ได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ พวกเขายังเอาของเหลวที่ไหลซึมออกมาจากไม้ที่เผา
มาจุ่มน้ำและน้ำมันแล้วนำมาลูบถูตามร่างกายทำให้กลิ่นหอมติดตัวทนนาน ณ
จุดนี้เป็นที่มาของน้ำหอมฝรั่งเศส ตั้งชื่อเครื่องหอมผ่านควันไฟนี้ว่า PERFUME
ซึ่งมาจากภาษาลาตินสองคำคือ PER แปลว่า THROUGH
หรือ ผ่าน และ FUME แปลว่า SMOKE หรือควัน
ชาวอียีปต์ได้ค้นพบเครื่องหอมนี้กว่า
3 พันปีล่วงมาแล้วในสมัยฟาโรห์ ต่อมาพวกกรีกและโรมันเรียนรู้เครื่องหอมจากอียีปต์
และในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12พวกคริสต์เตียนที่มาทำสงครามศาสนา (CRUSADERS) ได้นำเครื่องหอมจากดินแดนปาเลสไตน์
ไปยังอังกฤษและฝรั่งเศส
จากนั้นไม่นานจึงได้มีการค้าขายเครื่องเทศและเครื่องหอมกันอย่างกว้างขวาง
ระหว่างตะวันออกกับยุโรป และในศตวรรษที่ 15 น้ำหอม ( PERFUME) กลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในยุโรป
แต่หลักฐานบางตำราอ้างว่า
ในสมัยโบราณชาวจีน ฮินดู อียิปต์ อิสราเอล อาหรับ กรีก และ โรมัน
ได้รู้จักและเรียนรู้ศิลปะของการทำเครื่องหอมมานานแล้ว แม้ในคัมภีร์ไบเบิลก็ปรากฏว่ามีสูตรของการทำน้ำหอมอยู่ด้วย
เครื่องหอม ของหอม
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในเครื่องสำอางทุกชนิด
ยกเว้นเครื่องสำอางของผู้เป็นโรคภูมิแพ้
ผิวหนังแพ้ง่ายจำเป็นจะต้องใช้เครื่องสำอางพวก NON-ALLERGENIC
ซึ่งผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ
ประวัติเครื่องหอมของไทย
ไม่ปรากฏว่าได้นำมาใช้ตั้งแต่ยุคใดสมัยใด
เพียงแต่คำบอกเล่ากันมาว่าทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณและสันนิฐานได้ว่า น่าจะเรียนรู้มาจากชาวจีนและอินเดีย
ส่วนน้ำหอม (perfume) ได้เข้ามามีบทบาทตั้งแต่สมัยหลังสงครรามโลกครั้งที่
2 ซึ่งคุณลาวัลย์ โชตามระ กล่าวว่าเครื่องหอมแสดงถึงความโก้หรู
ซึ่งมีตั้งแต่โลชั่น เพอร์ฟูม โคโลญจน์ และหัวน้ำหอมเพอร์ฟูม จากหนังสือ เครื่องหอมและของชำร่วย
ของคุณ โสภาพรรณ อมตะเดชะ ได้เขียนไว้ว่า จึงเป็นที่นิยมของคนชั้นสูงในขณะนั้นที่เรียกว่าเห่อของนอก
และได้รับอิทธิพลสืบต่อกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน
เครื่องหอมของไทยนั้นมีหลากหลายชนิด ตามความเป็นไทย
โดยการใช้วัสดุเครื่องหอม สมุนไพรซึ่งหาได้ภายในประเทศแต่ปัจจุบันเครื่องปรุงบางอย่างต้องปรุงจากต่างประเทศ
การทำเครื่องหอมที่มีสูตรคล้าย ๆ กันแต่การปรุงแต่งให้มีคุณภาพขึ้นอยู่กับวิธีการและประสบการณ์ของผู้ปรุงการปรุงเครื่องหอมในสมัยก่อนจะมีกลิ่นหอมเย็นตามธรรมชาติ
เนื่องจากได้มาจากกลิ่นหอมดอกไม้ เนื้อไม้ ยางไม้และชะมด โดยวิธีอบร่ำหลาย ๆ ครั้ง
จนทำให้เกิดกลิ่นหอม เมื่อปรุงแล้นำมาใช้ดมใช้ทา ใช้อบเป็นเครื่องหอมบำรุงผิวเป็นอย่างดี
บางชนิดสามารถใช้รักษาแก้อาการคัน และเกิดผดผื่นได้อีกด้วย ดังนั้นคนไทยจึงควรอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงนี้ให้ดำรงสืบไป
ซึ่งนอกจากจะประหยัดค่านำเข้าน้ำหอมจากต่างประเทศปีละหลายล้านบาทแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมอาชีพของคนไทยด้วยกันอีกด้วย
ซึ่งเป็นการแก้ไขเป็นการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจควบคู่กันไปอีกทางหนึ่งเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น